วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

กรุ๊ป รัสเซีย 10-17 เม.ย 2014 (QR)

กรุ๊ป รัสเซีย 10-17 เม.ย 2014 (QR)
เริ่มต้นเดินทาง ไปเจอลูกค้าที่สนามบินสุวรรณภูมิครับผม


ตั้งป้ายSUNFLOWERALLIANCEแล้วรอลูกทัวร์


เริ่มมากันแล้ววววววววว

เช็กชื่อก่อนน้าค๊าาาา

แนะนำข้อมูลอย่างเป็นกันเอง  ^^


พี่สีฟ้าเป็นคนส่งกรุ๊ปเน้อจ้า มีอัลไลส่งใสถามได้จ้า
เดียวจะมีพี่หัวหน้าทัวร์ตามมาอีกคน.....


นั่งรอแปปน้าครับ กำลังเช็คอินพาสปอร์ต
ระหว่างนี้ลูกทัวร์ไปทานน้ำหรืออาหารรองท้องได้นะครับหรือจะไปแลกเงินก็ได้นะ

เช็คอินเสร็จก็จะพาไปโหลดกระเป๋านะครับ เจ้าของตามมาแต่ไม่ต้องเข็นรถนะครับพี่ๆน้องๆ SunflowerAlliance บริการเต็มที่ครับ
(เดินตามมาให้ พนักงานกาต้าร์เค้าเห็นหน้าตอนโหลดกระเป๋าพอแว้วว)




บินบิน..................................

ถึงแล้วจ้าาาาา  เจอพี่ไกด์สาวชาวรัสเซีย


กองทัพต้องเดินด้วยท้องจ้า ทานอาหารกันก่อนออกเดินทางไปสถนานที่ท่องเที่ยว







รูปรวมครับผม


เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพพร้อมกับรอยยิ้มและความประทับใจมิรู้ลืม





วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

ร. 5 เสด็จประพาสยุโรป ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2440)



รัสเซีย 

   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จภาสรัสเซียเมื่อวันที่ 1-12 กรกฎาคม รัสเซียเป็นประเทศที่สำคัญกับไทยในเวลานั้น เพราะจะช่วยถ่วงดุลอำนาจของมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพราะฝรั่งเศสที่กำลังคุกคาม ไทย โดยที่ฝั่งเศสกับรัสเซียมีสนธิสัญญาพันธมิตรต่อกัน และสนธิสัญญาฉบับนี้มีความสำคัญต่อฝรั่งเศสมาก หลังจากเยอรมนีปล่อยให้ฝรั่งเศสอยู่โดดเดี่ยวหลายปี ยิ่งไปกว่านั้นรัสเซียก็มีความสนิทสนมกับไทย เพราะมกุฏราชกุมาร ของรัสเซียที่เคยเสด็จมาเยือนได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2

    ใน พ.ศ. 2440 รัสเซียยังไม่ได้มีสัญญาทางพระราชไมตรีกับไทย จนเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2442 จึงได้ทำข้อตกลงร่วมกันให้คนรัสเซียได้สิทธิพิเศษต่างๆ เหมือนกับคนต่างชาติที่ได้รับสิทธิพิเศษนั้น แต่กระนั้นทางฝ่าย รัสเซียก็ให้ความสำคัญและความสนใจต่อการเสด็จเยือนยุโรปและรัสเซียมาก - อีกทั้งให้ความช่วยเหลอไทยเป็นพิเศษ - มีการรายงานความเคลื่อนไหวของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หัวไปยัง รัฐบาลของตนตลอดเวลา เช่น ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ในสวิตเซอร์ แลนด์ คณะทูตต่างป ระเทศได้เข้าเฝ้าโดยที่ไม่มีกำหนดการล่วงหน้า " แต่เนื่องจากทรงมีความรู้ภาษาองกฤษที่ดีเยี่ยม จึงมีพระราชดำรัสตอบโดย ไม่ทรงขัดเขิน... (ทรง) มีพระราชปฎิสันถารกับเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆทรงใช้ภาษาที่ไพเราะและแสดง ถึงพระราชปฎิภาณ พระองค์ทรงมีเรื่องสนทนากับพวกเราไม่ซ้ำกัน... พระมหากษัตริย์แห่งสยามทรงยืนอยู่กับข้าพเจ้า (อุปทูตรัสเซียประจำกรุงเบิร์น) นานเป็นพิเศษ และทรงจับมือข้าพเจ้าตลอดเวลา เพื่อนทรงแสดงให้เห็นว่าทรงมีความยินดีเป็นพิเศษ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า " ข้าพเจ้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับผู้แทนของรัสเซียขณะนี้ ข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปทั่วยุโรปและจะเยือนแทบทุกมหานครแทบทุกแห่ง แต่ข้าพเจ้ามีความสุขเป็นพิเศษที่จะได้มีโอกาสเยือนรัสเซียและเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิ "

    ต่อมายังมีรายงานสรุปสภาพการณ์สยามของอุปทูตรัสเซีย ประจำสยาม ตอนหนึ่งว่า " สำหรับรัสเซีย ข้าพเจ้าคิดว่าย่อมได้รับผลประโยชน์จากความสัมพันธ์อนแน่นแฟ้นกับสยามโดย ปราศจากข้อสงสัย... สยามต้องการ ความช่วยเหลือเพื่อจะได้รับในเอกราชของตน และหวังพึ่งความเป็นมิตรระหว่างเรากับฝรั่งเศส ก็จะช่วยให้สยามใกล้ชิดกับฝรั่งเศสมากขึ้น "

    ขบวนรถไฟพระที่นั่งเดนทางถึงกรุงวอร์ซอเมืองหลวงของโปรแลนด์ในอดีตรวม อยู่ในจักรพรรดิรัสเซีย ( ปัจจุบันโปรแลนด์เป็นประเทศที่มีเอกราช ) ที่สถานีรถไฟ พระเจ้าซาร์ทรงสั่งให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลวอร์ซอ พร้อมข้าราชการมาถวายการต้อนรับอย่างใหญ่โตเสมือนเป็นการตอบแทนไทยที่ให้การ ต้อนรับมกุฎราชกุมารรัสเซียมีแถวทหารและพลแตรวงเรียงรายตั้งแต่สถานีรถไฟถึง วังลาเสนกีที่ทางการรัสเซียจัดถวายเป็นที่ประทับ ถึง 22400 คน อีกทั้งราษฎรคอยเฝ้าชมพระบารมีไม่ขาดระยะ

    ที่กรุงวอร์ซอพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรละคร โอเปรา , การซ้อมรบของทหาร , สภาพของบ้านเมืองหลังจากประทับอยู่ 1 คืน จึงเสด็จต่อโดยขบวนรถไฟพระที่นั่งถึงเมืองปีเตอร์ฮอฟ ในตอนค่ำ ที่นั่นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์และเคานต์ มูราเวียฟ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ได้มารับเสด็จและทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรวจแถวทหาร แล้วนำเสด็จสู่ พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ โดยสองข้างทางมีการประดับธงช้างและจุดประทีบตลอดสองข้างทาง

    พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ เป็นที่แปรพระราชฐานของพระเจ้าซาร์ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เหมือนพระราชวังบางประอินเห็นได้ว่าพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 มีพระราชประสงค์จะให้ระลึกถึงครั้งที่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายการต้อนรับพระองค์ที่พระราชวังบางประอิน

    อนึ่ง ในวันนั้นเองพระองค์ทรงได้รับข่าวที่ทำให้สบายพระทัยมาก คือมีฝ่ายขุนนางพูดกับพระยาสุริยานุวัตร ( เกิด บุนนาค ) ราชทูตไทยประจำฝรั่งเศสว่า " ความลำบากกับฝรั่งเศสคงจะเบาบาง ฉันจะรับสั่งอะไร กับเอมเปอเรอ คงจะเป็นราชธุระทั้งนั้น เวลานี้กำลังปลื้ม การที่ตรอมตรมมา... ปลดเปลื้องลงเป็นอันมาก "

    พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ตลอดพระบรมวงศานุวงศ์ทรงถวายการต้อนรับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวอย่างดียิ่ง พระราชชนนีของพระเจ้าซาร์ คือ เอมเปรสมารีโฟโดวีนา เสด็จมาที่พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปเข้าเฝ้า ทรงรักและอาทรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก ทรงเล่าว่าในวันสุดท้านที่ทูลลา " เอมเปรสเกือบจะทรงกรรแสงสั่งแล้วสั่งเล่ารับปวารณา กันว่าจะคิดว่าฉันเป็นลูก ฉันก็คิดว่าเป็นแม่ตั้งแต่นี้ไป ทุกวันเป็นแต่จูบฉัน วันนี้เป็นแม่ลูกกันแล้ว เอียงพระะราชปรางให้ฉันจูบ บรรดาลูกทั้งผู้หญิงผู้ชายนับว่าเป็นพี่น้องกัน ต่างคนต่างจูบกันกับฉันทุกคน ลูกเราเอมเปรสก็เอาไป จูบเป็นหลานหมดทั้งนั้น " ในค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการ และมีพระราชดำรัสว่ามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัสเซีย ทรงจำได้ดีถึงการที่พระองค์ได้รับ " พระเมตตาอย่างเพื่อนอันสนิทในพระนครของกรุงสยาม " และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า

    " ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเฝ้าพระองค์ถึงกรุงรัสเซีย การที่พระองค์ได้เสร็จไปยังกรุงสยามนั้น ข้าพเจ้าและคนทั้งหลายในกรุงสยามยังจำได้โดยความยินดี

     ข้าพเจ้าถือว่าพระองค์เป็นมิตร ผู้ทรงพระเดชานุภาพ ข้าพเจ้ามีความพอใจในการที่ได้ทรงจัดต้อนรับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอบพระทัยจากดวงจิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอดื่มถวายไชยมงคลสมเด็จพระเจ้าเอมเปรอกรุงรัสเซีย "

    ที่พระราชวังปีเตอร์ฮอฟจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่มีผลต่อชะตากรรมของ เมืองไทย ทรงมีการปรึกษาข้อราชการ ทรงให้ช่างฉายพระบรมรูปร่วมกัน ซึ่งได้ส่งไปลงหนังสือพิมพ์ในยุโรป เป็นการยืนยันพันธไมตรี ระหว่างกรุงสยามกับรัสเซีย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดให้ เคานต์ มูราเวียฟ เสนาบของจักรพรรดดีกระทรวงการต่างประเทศเข้าเฝ้าปรึกษาข้อราชการ

    ในเช้าวันที่ 5 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จโดยเรือพระที่นั่งที่พระเจ้า วาร์นิโคลัสที่ 2 จัดถวายไปยังกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่นั่นได้เสด็จไปวัดเซนต์ปีเตอร์และเซนต์ปอล เพื่อวางพวง มาลาที่สุสานของราชวงศ์โรมานอฟ แล้วเสด็จไปพระราชวังฤดูหนาว ซึ่งมีของมีค่ามากมายรวมทั้งเครื่องราชูปโภคของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชพอถึง บ่ายถึงเสด็จกลับพรระราชวังปีเตอร์ฮอฟโดยเรือพระที่นั่ง

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปกรุงมอสโกในค่ำวันที่ 6 กรกฎาคม โดยรถไฟพระที่นั่งและถึงในบ่ายวันรุ่งขึ้นโดยมีพระเจ้าอาของพระเจ้าซาร์และ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่มารับเสด็จและนำเสด็จไปประทับ ที่พระราชวังเครมลิน

    ที่กรุงมอสโก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปทอดพระเนตรวัดเซเวียร์ซึ่งเป็นวัดใหญ่สร้างเพื่อการระลึกที่กรุงมอสโกพ้น จากการโจมตีของจักรพรรดินโปเรียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2355 โดยโบถส์ใหญ่ สามารถบรรจุคนได้ถึง 7000 คนและเสด็จไปหอสมุดกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเก็บพระราชสานส์ พระราชไว้มากมาย ทั้งยังมีคำภีร์ใบลานซึ่งเก็บไว้นานกว่า 100 กว่าปีแล้วโดยไม่ทราบว่าเรื่องเป็นอย่างไร มาถวายทอดพระเนตร ทรงมีพระราชดำรัสว่า " เป็นภิกขูปาฎิโมกข์ " หรือคัมภีร์ว่าด้วยวินัยของพระสงฆ์ที่มี 227 ข้อ เขียนด้วยตัวอักษารขอม

    ขอกล่าวถึงการเจรจาระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระ เจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เกี่ยวหับความมั่นคงและเอกราชของไทย ซึ่งเป็นพระราชประสงค์ในการเสด็จเยือนรัสเซีย การเจรจามีหลายครั้ง บางครั้ง เคานต์มูราเวียน เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียก็เข้าร่วมด้วย แต่ละครั้งของการเจรจา ทางรัสเซียก็ได้แสดงความจริงใจในการสนับสนุนไทยทำให้ " ฉัน( พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ) เพิ่งจะเห็นเป็นแน่แก่ใจว่าการที่ฉันมาครั้งนี้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองแท้ แล้ว ประโยชน์รวบยอดนั้นคืออันนี้เอง ฉันทูลขอบพระทัยเอมเปรอ ทั้งในส่วนตัวและเมืองสยามซึ่งเอมเปรอได้ยืดดินแดนไว้ในครั้งนี้ ท่านรับมั่นคงนักในข้อนั้นอีก " ข้อความข้อว่าางต้นเป็นพระราชโทรเลขของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว ถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีฯ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ที่กล่าวถึงว่า ทรงได้ประโยชน์สูงสุดตามพระราชประสงค์ในการเสด็จ ประสงค์แล้ว คือการที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงถือว่าอินดิเปนเดนหรือเอกราชของสยามเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระราชโทรเลขถึงกรม หลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดี กระทรวงการต่างประเทศด้วยดังนี้

     " ฉันได้พูดกับเอมเปรอ แลภายหลังกับเคาน์มูราวิฟ ในเรื่องที่เรามีความลำบากกับฝรั่งเศสไม่เฉพราะแต่เรื่องคนโทษทั้ง 2 ได้พูดตลอดถึงเรื่องริยิศเตรชั่น ท่านทั้ง 2 เห็นความลำบากของเราเหมือนกับที่เราเห็นทุกประการ รับจะช่วยโดยทางไมตรีเพื่อจะชี้แจงให้ฝรั่งเศสเห็นทางประโยชน์แลใช้ประโยชน์ โดยกว้าง คือการที่ฝรั่งเศสทำ กับเราเดี๋ยวนี้ใช่ว่าเป็นประดยชน์ต่อฝรั่งเศสเลยเป็นแต่ทำให้กับอังกฤษทั้ง สิ้น แต่จะรับเป็นแน่ว่าฝรั่งเสสจะทำตามฤายังไม่ได้จะเรียกทูตฝรั่งเศสมาพูด แลให้ร่างหนังสือ ถึงมองชิเออ ฮาโนโตมาให้ดูจะให้เราทราบเมื่อกลับจากมอสโก การที่รัสเซียรีบแข็งแรงนี้ เพราะฮาโนโตให้ทูตมาพูดกับเสนาบดีการต่างประเทศ เพื่อจะช่วยจัดการให้เรา ดีกับฝรั่งเศส ก่อนเวลาที่เรามาถึงเข้าใจว่าคงจะเป็นผลดีมาก แต่เราไม่ได้ขอให้รัสเซียช่วยตัดสินเลยเราไว้ท่า เป็นแต่เพื่อนคนหนึ่ง จะช่วยชี้แจงให้เพื่อน 2 คนดีกันเท่านนั้น "

    พระเจ้าซาร์นิโคลัสดูจะมีความจริงใจในการช่วยเหลือต่อคนไทยมากทีเดียว เพราะในเวลาต่อมาหลังจากเสด็จประพาสฝรั่งเศสครั้งแรกแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้เข้าเฝ้าพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่เสด็จมาเมืองดามสตัด ในประเทศเยอรมนี ในวันที่ 7 ตุลาคม และทรงเล่าเรื่องที่เจราจากับฝรั่งเศสให้ฟังทั้งหมด พะเจ้าซาร์นิโคลัส ทรงทูลย้ำพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ความเป็นเอกราชของไทยเป็นเรื่อง สำคัญ ที่รัสเซียจะต้องช่วยรักษา แม้ว่าการช่วยไทยจะทำให้สูญเสียการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสก็ต้องยอม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับจากกรุงมอสโก ถึงพระราชวังปัเตอร์ฮอฟในวันที่ 10 กรกฎาคมและเสด็จออกจากรัสเซียในวันรุ่งขึ้นโดยทางเรือ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ส่งเสด็จถึงฐานทัพเรือ คอนสตัด ทางด้านทะเลบอลติก เรือพระที่นั่งฯเดินทางต่อถึงกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของสวีเดน ในวันที่ 13 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยอมรับว่ามีความคิดถึงรัสเซียมาก " ไม่รู้ว่าเขาผูกจิต ผูกใจฉันอย่างไร เรียกได้ว่าหลง "

จากหนังสือ : ร. 5 เสด็จประพาสยุโรป ร.ศ. 116                              
 

กริกอริ รัสปูติน !!

...ช่างไม่น่าเชื่อจริงๆ สำหรับชายผู้มีลึงค์ที่ยาวถึง 11 นิ้ว แต่สิ่งที่น่าวิเศษกว่านั้นคือ เขาเป็นผู้ที่ถูกตั้งคำถามว่าเป็น นักบุญ หรือ ซาตาน และเขาผู้นั้นถือว่าเป็นผู้ทำให้ราชวงค์ที่ยิ่งใหญ่ของมหาอาณาจักรต้องสั่น คลอนและล่มสลายเพราะคำสาปแช่งของคนผู้นี้.................กริกอริ รัสปูติน !!

...กริกอริ รัสปูติน เกิดวันที่ 10 ม.ค. 1869 ที่ฝั่งแม่น้ำตูราในเมืองโตบอลส์ก ไซบีเรีย ครอบครัวของเขานั้นเป็นเกษตรกรธรรมดาๆ แต่ด้วยความพิเศษของรัสปูติน นั้นคือเขาเป็นคนที่มีอวัยวะเพศที่ใหญ่และยาวกว่าคนปกติมาก เนื่องด้วยรัสปูตินตอนเด็กเคยถูกโสเภณีล่อลวงไปทำอนาจาร จึงทำให้ชีวิตของเขานั้นต้องพบกับเหล่าโสเภณีและเรื่องเพศมากมายหลายครั้ง จนสุดท้ายเขาก็เริ่มติดใจและชอบในการกระทำดังกล่าว รวมถึงยังภูมิใจในความใหญ่และยาวของลึงค์วิเศษของเขา


...รัสปูติน ได้แต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ ปราสโกเวีย แต่เขาก็ยังคงชอบเที่ยวกับเหล่าโสเภณีอยู่ และจุดเปลี่ยนของเขาอยู่ตรงนี้ คือวันหนึ่งเขาได้ไปร่วมเพศกับเหล่าเด็กชาวท้องถิ่น และเด็กสาวเหล่านั้นชวนให้เขารู้จักกับศาสนานิกายประหลาดที่มีชื่อว่า นิกายคลิสติ โดยกลุ่มศาสนิกชนกลุ่มนี้เป็นผู้ยึดถือใความเชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่ม แรก จึงต้องมีการชำระบาป เขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่างเกี่ยวกับความวิตถารในทางกามารมณ์ และการบูชายัญ ผู้คนในบ้านเกิดของรัสปูตินไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเหล่านี้ จึงขับไล่รัสปูติน เขาจึงได้เดินทางไปทั่วรัสเซียและเผยแพร่ศาสนานิกายคลิสติ โดยอาศัยความพิเศษของอวัยวะเพศของเขา เป็นตัวดึงดูดหญิงสาวในการไถ่บาป โดยเชื่อว่าการไถ่บาปสามารถทำได้ผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์ และด้วยความวิเศษเหล่านี้รัสปูตินสามารถเป็นเหมือนหมอเทวดาในการรักษาโรค โดยโรคใดที่เห็นว่าไม่มีทางรักษา รัสปูตินผู้นี้สามารถรักษาได้ ขอเพียงมีความเชื่อในศาสนานิกายคลิสติในการไถ่บาปนั้นเอง

...จุดสำคัญอยู่ที่ วันหนึ่งเจ้าชายอเล็กซิส บุตรขององค์ราชาซาร์ นิโคลัสที่2 และองค์ราชินีซารีน่า อเล็กซานดรา ได้ล้มป่วยลงเนื่องจากโรคฮีโมฟีเลีย (เลือกไหลไม่หยุด) ไม่มีทางรักษาได้ และด้วยขณะนั้นรัสปูตินได้เข้ามาอยู่ในเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก เมืองหลวงรัสเซียในขณะนั้น ชื่อเสียงในการรักษาโรคของรัสปูตินได้เลื่องลือมาถึงหูของราชินีอเล็กซานดรา รัสปูตินจึงได้ถูกรับเชิญเข้ามารักษาองค์ชายอเล็กซิส และด้วยความวิเศษของรัสปูติน เขาได้รักษาองค์ชายจนอาการดีขึ้น ซารีน่า อเล็กซานดร้า ผู้เป็นพระราชมารดาชอบอกชอบใจรัสปูตินเป็นอันมาก รัสปูตินจึงอาศัยอิทธิพลของซารีน่าแผ่อิทธิพลและสร้างเรื่องอื้อฉาวทาง กามารมณ์จนเป็นที่กล่าวขวัญในเมืองหลวง มีสตรีสมัยใหม่ ชนชั้นสูง ภรรยาทหารใหญ่จำนวนมากมายในนครหลวงที่ตกเป็นทาสกามของรัสปูตินอย่างเต็มใจ จนบางครั้งมีข่าวลือว่าซารีน่าก็อาจเป็นหนึ่งในจำนวนผู้หญิงเหล่านั้นด้วย ซึ่งด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งกับเหล่าขุนนางชายในราชสำนักเป็นอย่างยิ่ง
{องค์ชายอเล็กไซ คนไข้ที่พลิกชีวิตรัสปูติน} 

...เจ้าชายเฟล็กซ์ ยูสโซปอฟ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง ได้ร่วมมือกับกลุ่มข้าราชบริพานในการสังหารรัสปูติน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสังหารรัสปูตินได้ ทั้งวางยาพิษ ลอบยิง หลายครั้ง จนวันหนึ่งรัสปูตินได้มีจดหมายถึงราชินีซารีน่า ความหนึ่งว่า"หากกระหม่อมตายด้วยน้ำมือของปุถุชนทั่วไป ราชวงค์โรมานอฟไม่กระทบกระเทือนอันใด และจะเกิดไปอีกเป็น100ปี แต่หากกระหม่อมตายด้วยน้ำมือของเชื้อพระวงศ์องค์ใดก็ตาม พระองค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี จากฝีมือของประชาชนรัสเซีย " ... ซึ่งไม่นานรัสปูติน ก็ถูกสังหารจากการระดมยิงจากเจ้าชายเฟล็กซ์ และพรรคพวก แม้ว่าเขาจะมีความวิเศษเพียงใด เขาก็ต้องล้มตายลง และหลังจากนั้นไม่ถึง3 เดือน กระแสแห่งการปฏิวัติหลั่งไหลเข้ามาสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรม ได้มีการประท้วงเกิดขึ้นอย่างท้วนหน้า จนเกิดการสังหารใหญ่จากการสั่งการของซาร์ นิโคลัส ประชาชนจึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเกิดการจลาจลวุ่นวาย ชัยชนะของเคอเรนสกี้ผู้นำกลุ่มทหาร และสุดท้ายซาร์ก็จำต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัวอย่างแข็งแรง และถูกนำไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและกันดาร โดยยังเชื่อกันว่าเจ้าหญิงผู้งดงาม ไร้เดียงสา และบริสุทธิ์ทั้ง 4 องค์ ก็ไม่รอดพ้นการย่ำยีทางเพศ จากทหารเลว นับเป็นชะตากรรมที่พลิกผันชีวิตอันสูงส่ง ลงมาต่ำสุดอย่างน่าสมเพชยิ่งนัก และหลังจากนั้นมีการสังหารหมู่ราชวงค์โรมานอฟ จนสิ้นวงค์ตระกูล....

{เจ้าชายเฟลิกซ์(ซ้าย) คนสำคัญที่วางแผนสังหารรัสปูติน}
...จากชาย ที่มีลึงค์ยาว 11 นิ้ว มาจนถึงการสิ้นสุดของกษัตริย์ราชวงค์สุดท้ายของรัสเซีย ขึ้นอยู่กับวิจารญาณของท่านทั้งหลายเกี่ยวกับคำสาปของรัสปูติน แต่ที่เป็นการยอมรับโดยทั่วไปว่า รัสปูตินได้สร้างความสั่งคลอนและถือว่าเป็จุดเริ่มต้นของความล่มสลายของราช วงค์โรมานอฟ กษัตริย์ราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย....

แกรนด์ดยุคดิมิทรี พัฟโลวิช คนสำคัญที่ร่วมวางแผนสังหารรัสปูติน

(เพิ่ม เติม1 : หลังจากพระเจ้าซาร์ได้สละราชบัลลังค์ มีการ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกี้ขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค Bolshevik นำโดยวลาดิมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็นสหภาพโซเวียต Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือUSSR ปีค.ศ. 1918 ย้านเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโคว์)

(เพิ่มเติม2 : มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านสงสัยว่าเจ้าชายเฟล็กซ์ ยูสซูปอฟ เป็นเกย์ และอิจฉาเหล่าหญิงสาว ที่มีโอกาสได้เชยชมกับอวัยวะเพศอันวิเศษของรัสปูติน เจ้าชายเฟล็กซ์จึงสังหารรัสปูติน และตัดลึงค์เก็บไว้เป็นที่ระลึก)
นิดนึงนะสำหรับอวัยวะที่ถูกตัดทิ้ง

หรับ อวัยวะเพศของรัสปูตินที่ถูกโยนไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บ “ สิ่งที่ถูกเหวี่ยงทิ้ง ” ไปให้แก่สาวใช้คนหนึ่ง และปรากฏว่าได้พบตัวสาวใช้ผู้นั้นที่ปารีสในปี พ.ศ. 2511 หล่อนยังเก็บรักษา “ สิ่งที่ดูคล้ายกล้วยหอมซึ่งงอมจัดจนดำไปหมด ” ไว้ในบไม้ขัดมัน
และแล้วเจ้าโลกชิ้นนั้นก็ปรากฏ

สำนักของ กริกอริ รัสปูติน
และ นี่เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาส คลุกคลีกับสาวสรรพ์กำนัลในแห่งพระราชวัง จนกลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวถึงสัมพันธ์สวาทที่เขามีต่อเหล่านางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง และแม้กระทั่งซารีน่าอเล็กซานดราก็มิได้เว้น!

ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน แต่เขาตายเพราะจมน้ำ!

ตุ๊กตาแม่ลูกดก หรือ มาโตรชก้า

ตุ๊กตาแม่ลูกดก หรือ มาโตรชก้า เป็นตุ๊กตาของรัสเซียที่เรียงซ้อน ๆ กันหลายตัว ชื่อนี้แผลงมาจากชื่อสตรีภาษารัสเซีย ว่า "มาตรีโยนา" หรืออาจจะถูกเรียกว่าตุ๊กตาคุณยาย

ตุ๊กตาแม่ลูกดกชุดหนึ่ง ประกอบด้วยตุ๊กตาไม้หลายตัวเรียงซ้อนกันอยู่ข้างใน แต่ละตัวประกอบด้วยสองส่วน คือส่วนบนและส่วนล่าง นำมาประกบกันได้สนิทตามร่องที่เซาะเอาไว้ ตุ๊กตาทุกตัวมีโพรงข้างใน เว้นแต่ตัวสุดท้ายซึ่งมีขนาดเล็กสุด จะเป็นตุ๊กตาเต็มตัว ตัน ชิ้นเดียว ตุ๊กตาแม่ลูกดกชุดหนึ่งจะมีตุ๊กตาซ้อนข้างในกี่ตัวก็ได้ ถ้ามีจำนวนมาก ตุ๊กตาตัวใหญ่สุดที่อยู่นอกสุดก็จะต้องมีขนาดใหญ่มากด้วย ตุ๊กตาทุกตัวจะมีรูปร่างเหมือนกันหมด คือ คล้ายกระบอก โป่งตรงกลาง ด้านบนโค้งมน ส่วนฐานเรียบ ไม่มีมือหรือส่วนใดยื่นออกมา แต่จะใช้สีวาดเป็นหน้าเป็นตาหรือขาทั้งหมด ให้ตุ๊กตาแต่ละตัวมีใบหน้าและเสื้อผ้าที่เหมือนกันด้วย ทั้งยังเคลือบเงาอย่างสวยงาม

หน้าตาของตุ๊กตาแม่ลูกดกนั้นเดิมนั้นทำเป็นหญิงชาวนา แต่งกายแบบดั้งเดิม มีผ้าคลุมศีรษะ แต่ในภายหลังมีการวาดตุ๊กตาเป็นรูปเทพธิดา นางฟ้า และบุคคลที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำของรัสเซีย เช่นเลนิน ปูติน หรือจะดาราระดับตำนานอย่างมาริลิน หรือนักร้องชื่อดังอย่างไมเคิล แจ็คสัน และมาดอนน่า ไม่เว้นแม้แต่คาแรคเตอร์ของตัวละครชื่อดังอย่างหมีพูห์ มิคกี้เมาส์
กำเนิดของตุ๊กตาที่น่ารักตัวนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเป็นสองทาง ทางหนึ่งว่า พระชาวรัสเซียเป็นบุคคลแรกที่นำวิชาทำตุ๊กตาไม้ไปจากเกาะฮนชูของญี่ปุ่น เมื่อมาถึงรัสเซียแล้ว ก็ผสมผสานรูปแบบกับศิลปะท้องถิ่น เช่น แนวคิดในการซ้อนตุ๊กตาที่คุ้นเคยกันดีในรัสเซีย และประยุกต์เข้ากับงานประดิษฐ์แอปเปิลไม้และไข่อีสเตอร์ แล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่า มาโตรชก้า

อีกทางหนึ่งว่ามาโตรชก้าได้รับแรงบันดาลใจจากตุ๊กตาที่ระลึกจากเกาะฮอนชูในญี่ปุ่น และเมื่อเทียบกับตุ๊กตาไม้ของญี่ปุ่นแล้ว ก็จะเห็นว่าตุ๊กตาญี่ปุ่นเหล่านั้นมีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกับมาตริยอชคา ด้วยเป็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงแกะด้วยไม้ เชื่อกันว่าในภายหลังมีการนำตุ๊กตาจากญี่ปุ่นไปยังแผ่นดินรัสเซียเมื่อราว พ.ศ. 2430

เมื่อปี พ.ศ. 2443 เอ็ม. เอ. มามอนตอฟ ได้นำตุ๊กตาแบบนี้ไปจัดแสดงในงานสินค้า (World Exhibition) ที่กรุงปารีส และได้รับรางวัลเหรียญทองแดง และในไม่ช้าก็มีการผลิตตุ๊กตาแม่ลูกดกในรัสเซียอย่างแพร่หลายในหลายท้องที่และหลากหลายรูปแบบ

เมื่อประมาณ 120 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของรัสเซียครั้งใหญ่ จึงมีความสนใจที่จะอนุรักษ์ธรรมเนียมพื้นบ้านมากขึ้น ด้วยมีการฟื้นฟูวัฒนธรรมและรวบรวมผู้เชี่ยวชาญศิลปะพื้นบ้านต่าง ๆ และเพื่อเป็นการอนุรักษ์ความทรงจำเก่า ๆ เกี่ยวแก่ท้องถิ่นรัสเซีย จึงมีการสร้างห้องทำงานช่างศิลปะขึ้นใกล้กับกรุงมอสโก ศิลปะพื้นบ้านต่าง ๆ จำพวกของเล่นและตุ๊กตา ถูกรวบรวมมาจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อศึกษาและผลิตสืบต่อไป

ศิลปินคนสำคัญคนหนึ่งชื่อว่าเซียร์เกย์ มัลยูติน ได้ร่างแบบตุ๊กตาแม่ลูกดกขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นได้มีการถกเถียงและแก้ไขรูปร่างกันหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้รูปแบบที่ตกลงกัน คือวาดเป็นเด็กหญิงหน้ากลมแป้น ตาใสแจ๋ว สวมชุดที่เรียกว่า ซาราฟัน (ชุดยาวถึงพื้นมีสายรั้งสองข้าง) และวาดผมสวย แต่มีผ้าคลุมศีรษะสีสดใสให้ แล้วยังมีตุ๊กตาที่เหมือนกัน แต่ตัวเล็กกว่าใส่ไว้ข้างในด้วย แต่ตุ๊กตาข้างในแต่งตัวไม่เหมือนกัน กล่าวคือสวมโคโซโวรอตคัส (กระโปรงแบบรัสเซีย) และเสื้อเชิ้ตปอดดิออฟคัส (เสื้อคลุมยาวถึงเอวของผู้ชาย) และผ้ากันเปื้อนด้วย รูปร่างของตุ๊กตาแม่ลูกดกสมัยที่มัลยูตินได้ร่างแบบไว้ในมอสโก เมื่อปี พ.ศ. 2434 เป็นอย่างนี้

ไข่ฟาแบร์เช (Fabergé egg)

ไข่ฟาแบร์เช (Fabergé egg)
คือหนึ่งในงานตกแต่งอัญมณีรูปไข่ที่สร้างโดยห้องงานอัญมณีฟาแบร์เช (House of Fabergé) ระหว่างปี ค.ศ. 1885 จนถึงปี ค.ศ. 1917 งานส่วนใหญ่เป็นงานชิ้นเล็กที่เหมาะกับการให้เป็นของขวัญสำหรับเทศกาลอีสเตอร์ ที่อาจจะใช้สวมรอบคอห้อยเป็นจี้ที่อาจจะเป็นชิ้นเดียวหรือหลายชิ้นก็ได้
แต่ไข่ฟาแบร์เชที่มีชื่อเสียงที่สุดที่สร้างโดยห้องงานอัญมณีเป็นงานชิ้นใหญ่ที่สร้างให้แก่ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 และ ซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ที่มีด้วยกันทั้งหมด 50 ชิ้น และ 42 ชิ้นยังคงอยู่ อีกสองชิ้นวางแผนที่จะสร้างแต่ไม่ได้ส่ง คือ กลุ่มดาว และ เบิร์ชคาเรเลีย
ไข่ใบใหญ่เจ็ดใบสร้างให้แก่นักอุตสาหกรรมอเล็กซานเดอร์ เคลช์แห่งมอสโก
ไข่ทำจากโลหะมีค่าหรือหินแข็งตกแต่งด้วยอัญมณีและการลงยา คำว่า “ไข่ฟาแบร์เช” มีความหมายเดียวกับความหรูหรา และถือกันว่าเป็นงานอัญมณีชั้นหนึ่ง “ไข่ฟาแบร์เช” ของราชวงศ์รัสเซียถือว่าเป็นกลุ่มงานศิลปะชิ้นเอก (objets d'art) ที่ได้รับการจ้างชิ้นสุดท้าย
การสร้าง “ไข่ฟาแบร์เช” เริ่มขึ้นเมื่อซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 มีพระราชประสงค์ที่มอบไข่อีสเตอร์ให้แก่จักรพรรดินีมาเรีย เฟโดโรฟนา (Empress Maria Fedorovna) ในปี ค.ศ. 1885 เพื่ออาจจะในพระราชวโรกาสฉลองครอบรอบ 20 ปีของการเสกสมรสระหว่างทั้งสองพระองค์ เชื่อกันว่าซาร์อเล็กซานเดอร์ทรงได้ความคิดมาจากไข่ที่เป็นของเจ้าหญิงวิลเฮ ลมีน มารี แห่งเดนมาร์กผู้เป็นพระปิตุจฉาของพระจักรพรรดินี ที่เป็นวัตถุที่ต้องพระทัยจักรพรรดินีมาเรียมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
ไข่ใบแรกที่สร้างที่เรียกกันว่า “ไข่ไก่” ทำด้วยทอง โดยมีเปลือกเป็นเอนนาเมลขาวใสที่เปิดขึ้นมาเป็นสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจสิ่ง แรกที่เป็นไข่แดงสีเหลืองนวล ที่เปิดออกมาเป็นไก่ทองหลากสี ที่เปิดได้ ภายในเป็นมงกุฎจักรพรรดิเพชรขนาดจิ๋ว ที่มีเม็ดทับทิมห้อยลงมา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สองอย่างหลังนี้สูญหายไป
จักรพรรดินีมาเรียทรงพอพระทัยกับของขวัญเป็นอันมาก จนพระราชสวามีต้องมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ฟาแบร์เชเป็น ‘ช่างทองผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษแห่งจักรวรรดิ’ ปีต่อมาพระองค์ก็ทรงจ้างให้ฟาแบร์เชสร้างไข่ให้อีกลูกหนึ่ง แต่หลังจากนั้น ปีเตอร์ คาร์ล ฟาแบร์เชผู้ เป็นเจ้าของกิจการก็ได้รับอภิสิทธิ์ในการไข่อีสเตอร์สำหรับพระจักรพรรดิต่อ มา การออกแบบก็เพิ่มความซับซ้อนขึ้นทุกปี ตามธรรมเนียมของตระกูลฟาแบร์เช แม้แต่พระเจ้าซาร์ก็ไม่ทราบว่าไข่จะออกมาในรูปใด ข้อแม้อย่างเดียวของการสร้างงานคือต้องประกอบด้วยสิ่งที่สร้างความประหลาดใจ แก่ผู้ดู หลังจากการเสด็จสวรรคตของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ในปี ค.ศ. 1894 แล้ว ซาร์นิโคลัสที่ 2 พระราชโอรสก็ทรงมอบไข่ให้แก่ทั้งพระอัครมเหสีและพระราชชนนี
ในช่วงนี้ก็มิได้มีการสร้างไข่อยู่สองปี ในปี ค.ศ. 1904 และในปี ค.ศ. 1905 เพราะสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น เมื่อแบบได้รับการอนุมัติจากฟาแบร์เชแล้ว ทีมช่างก็จะเริ่มทำงานประกอบไข่ขึ้น
ไข่อีสเตอร์สำหรับพระจักรพรรดิสร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือให้แก่ฟา แบร์เช ผู้รับงานสร้างไข่ให้แก่ลูกค้าส่วนตัวที่เลือกสรรบ้างไม่กี่คน ที่รวมทั้งดัชเชสแห่งมาร์ลบะระห์, ตระกูลโนเบล, ตระกูลรอธไชลด์ และตระกูลยูซูพอฟ

ห้องอำพัน (Amber Room หรือ Amber Chamber)

ห้องอำพัน (Amber Room หรือ Amber Chamber) ตั้งอยู่ภายในพระราชวังแคทเธอรีนที่หมู่บ้านซาร์สโคเยอเซโลไม่ไกลจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นห้องที่ผนังที่ทำด้วยอำพันทั้งห้องตกแต่งด้วยทองคำเปลวและกระจก ความงามของห้องนี้ทำให้บางครั้งได้รับสมญาว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์ที่แปดของโลก”
ห้องอำพันเดิมเป็นความร่วมมือระหว่างช่างฝีมือชาวเยอรมันและชาวรัสเซีย การก่อสร้างห้องเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1701 ถึงปี ค.ศ. 1709 ในปรัสเซีย ตัวห้องออกแบบโดยประติมากรบาโรกชาวเยอรมันอันเดรียส์ ชลือเตอร์และสร้างโดยช่างอำพันชาวเดนมาร์คก็อตต์ฟรีด วูลแฟรม และตั้งอยู่ในพระราชวังชาร์ลอตเตนบวร์กมาจนกระทั่งปี ค.ศ. 1716 เมื่อพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซียถวายให้แก่ซาร์ปีเตอร์มหาราชแห่งจักรวรรดิรัสเซีย ห้องที่ได้รับการขยายและบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้งเมื่อไปอยู่ในรัสเซียแล้วมี ขนาดกว่า 55 ตารางเมตรและใช้อำพันทั้งสิ้น 6 ตัน ห้องนี้ถูกรื้อเป็นชิ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองโดยนาซีเยอรมนีเพื่อจะทำการส่งไปยังเคอนิกสแบร์ก แต่หลังจากนั้นห้องอำพันก็สูญหายไประหว่างความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในบั้น ปลายของสงคราม ชะตาของห้องยังคงเป็นเรื่องลึกลับและยังคงเป็นสิ่งที่สืบหากันอยู่
ในปี ค.ศ. 1979 ก็ได้มีการพยายามสร้างห้องอำพันกันขึ้นมาใหม่ที่ซาร์สโคเยอเซโล ในปี ค.ศ. 2003 หลังจากดำเนินการสร้างและตกแต่งอยู่เป็นเวลาหลายสิบปี ห้องอำพันที่สร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชาวรัสเซียก็เปิดขึ้นอีกครั้งในพระราชวัง แคทเธอรีนในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในรัสเซีย
การสร้าง
บางส่วนของห้องอำพันที่สร้างใหม่
ห้องอำพันเริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1701 เพื่อจะติดตั้งในพระราชวังชาร์ลอตเตนบวร์กในเบอร์ลินซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 1 ผู้ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ของปรัสเซียโดยการถวายคำแนะนำโดยพระอัครมเหสีองค์ที่สองโซเฟีย ชาร์ลอตแห่งฮาโนเวอร์ ความคิดและการออกแบบเป็นของอันเดรียส์ ชลือเตอร์ และมาสร้างโดยก็อตต์ฟรีด วูลแฟรมผู้เป็นช่างประจำราชสำนักของสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 4 แห่งเดนมาร์กด้วยความช่วยเหลือของช่าอำพันเอิร์นสท์ ชาคท์ และ ก็อตตฟรีด ทูเราจากกดานสค์.[1]
แต่เมื่อสร้างเสร็จห้องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในพระราชวังชาร์ลอตเตนบวร์กนานเท่าใดนัก ก่อนที่ซาร์ปีเตอร์แห่งรัสเซียจะ ทรงชื่นชมเมื่อเสด็จมาเป็นพระราชอาคันตุกะในปี ค.ศ. 1716 พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มจึงถวายให้กับซาร์ปีเตอร์ ซึ่งเท่ากับเป็นการสมานสัมพันธไมตรีระหว่างสองอาณาจักรในการต่อต้านสวีเดน
ในปี ค.ศ. 1755 Tsarina สมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบธแห่งรัสเซียมีพระบรมราชโองการให้ย้ายห้องอำพันไปยังพระราชวังฤดูหนาว และต่อมาพระราชวังแคทเธอรีน จากเบอร์ลินสมเด็จพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซียก็ ทรงส่งอำพันจากบอลติคไปให้สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถเอลิซาเบธอีก เพื่อไปตกแต่งเพิ่มเติมตามแบบที่ออกใหม่โดยสถาปนิกประจำราชสำนักของรัสเซียบาร์โทโลเมโอ ราสเทรลลิ
การโยกย้ายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ไม่นานหลังจากการรุกรานของเยอรมนีในสหภาพโซเวียตระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (ปฏิบัติการบาร์บารอสซา) ภัณฑ์รักษ์ผู้มีความรับผิดชอบต่อการขนย้ายศิลปะมีค่าของเลนินกราดไป ซ่อนระหว่างสงคราม พยายามที่จะถอดและย้ายห้องอำพัน อำพันในห้องถูกอากาศมาเป็นเวลานานก็จะแห้งและเปราะ เมื่อพยายามจะถอดอำพันก็เริ่มกลายเป็นผง ห้องอำพันจึงได้รับการพรางไว้ด้วยกระดาษปิดฝาผนังที่ดูเรียบๆ เพื่อป้องกันจากการถูกยึดโดยนาซี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่อพบห้องอำพันทหารเยอรมันถอดห้องเพียงภายใน 36 ชั่วโมงภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1941 ริตต์ไมส์เตอร์ กราฟ โซลม-เลาบาคก็ทำการควบคุมการขนย้ายหีบไม้ 27 หีบไปยังเคอนิกสบวร์กในปรัสเซียตะวันออกเพื่อไปเก็บรักษา และแสดงให้ประชาชนดูที่ปราสาทของเมือง เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1941 หนังสือพิมพ์ Königsberger Allgemeine Zeitung รายงานการแสดงบางส่วนของห้องในปราสาทเคอนิกสบวร์ก
ช่วงสุดท้ายในเคอนิกสบวร์ก
เมื่อวันที่ 21 มกราคม และ 24 มกราคม ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์ก็อนุญาตให้มีการขนย้ายสมบัติออกจากปราสาท ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไปหน่วยบริหารของอัลเบิร์ต ชเปียร์ก็มีสิทธิที่จะขนย้ายสมบัติทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญลำดับ “I (o)” เอริค ค็อคเป็น ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับขนย้ายที่เคอนิกสบวร์ก ผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่าได้เห็นลังที่ใส่ชิ้นส่วนของห้องอำพันที่สถานีรถไฟ ซึ่งอาจจะได้รับการบรรทุกขึ้นเรือวิลเฮล์ม กุสต์ลอฟฟ์ที่ออกจากกดิเนีย (Gdynia) เมื่อวันที่ 30 มกราคม และถูกล่มโดยเรือดำน้ำรัสเซียก็เป็นได้
ในตอนปลายสงครามเคอนิกสบวร์กถูกระเบิดอย่างหนักโดยกองทัพอากาศอังกฤษ และได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำมือของทหารโซเวียตที่รุกเข้ามาก่อนที่ จะเสียเมืองเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1945 ไปตกอยู่ในความปกครองของโซเวียตและมาได้รับชื่อใหม่ว่า “คาลินนินกราด” ตัวปราสาทที่เหลือถูกทำลายโดยกองทัพแดงระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960
การสูญหายและความลึกลับ
ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดเห็นห้องอำพันอีก นอกจากว่าจะมีข่าวมาบ้างว่าบางส่วนของห้องรอดมาจากสงคราม และอันที่จริงแล้วก็มีการพบบางส่วนของห้องที่ใช้เป็นเครื่องตกแต่งแต่ไม่ใช่ ส่วนที่เป็นอำพันเอง
ข่าวที่ออกมาเป็นระยะๆ หรือข้อสันนิษฐานต่างๆ ก็มีความขัดแย้งกัน ข้อสันนิษฐานรวมทั้งห้องอำพันถูกทำลายไประหว่างการถูกลูกระเบิด, , ถูกซ่อนไว้ใต้ดินภายใต้เคอนิกสบวร์ก, ถูกฝังไว้ในเหมือง หรือถูกขนย้ายไปกับเรือที่ถูกล่มโดยเรือดำน้ำโซเวียตในทะเลบอลติก
กลุ่มผู้ที่พยายามค้นหาก็รวมทั้งเอกชนคนเดียว และ กลุ่มรวมทั้งองค์การของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการค้นหาอย่างเป็นจริงเป็นจังมา ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองแต่ก็ไม่มีผู้ใดประสบความสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1998 ก็ได้มีคณะผู้ค้นหาสองคณะที่ประกาศว่าพบห้องอำพัน คณะแรกอ้างว่าพบในเหมืองเงิน และอีกคณะหนึ่งอ้างว่าพบว่าถูกฝังอยู่ใต้ลากูน แต่ทั้งสองคณะก็มิได้แสดงห้องอำพันให้ดู
แต่ในปี ค.ศ. 1997 โมเซอิคหินอิตาลีที่เป็นหนึ่งในสี่ชิ้นของโมเสอิคที่ใช้ในการตกแต่งห้องปรากฏขึ้นทางตะวันตกของเยอรมนีในครอบครัวของทหารผู้ที่มีส่วนในการบรรจุชิ้นส่วนของห้องเพื่อการขนย้าย
รายละเอียดของห้องอำพันที่สร้างใหม่

ห้องทำงานเพื่อสร้างห้องอำพันใหม่
เมื่อไม่นานมานี้นักหนังสือพิมพ์เชิงสอบสวนสองคนแคทเธอรีน สกอตต์-คลาร์ค และเอเดรียน เลวีทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง รวมทั้งจากเอกสารของการค้นคว้าที่ทำในรัสเซีย และในปี ค.ศ. 2004 ก็ได้พิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “ห้องแอมเบอร์: ชะตาของสมบัติอันมีค่าที่สุดของโลก” ที่สรุปว่าห้องอำพันน่าจะถูกทำลายเมื่อเพลิงไหม้ปราสาทเคอนิกสบวร์ก ไม่นานหลังจากที่เมืองเคอนิกสบวร์กยอมแพ้ต่อผู้ยึดครองรัสเซีย
เอกสารจากหอเอกสารแสดงบทสรุปโดยอเล็กซานเดอร์ บรูซอฟผู้นำคณะสืบสวนที่ส่งมาโดยรัฐบาลโซเวียตผู้สรุปในปี ค.ศ. 1945 ว่า “เมื่อสรุปจากข้อมูลต่างๆ แล้ว เราอาจจะกล่าวได้ว่าห้องอำพันถูกทำลายระหว่างวันที่ 9 ถึง 11 เมษายน ค.ศ. 1945” หลายปีต่อมาบรูซอฟให้ความเห็นตรงกันกันข้ามกับที่กล่าว ผู้ประพันธ์จึงกล่าวเป็นนัยยะว่าความคิดเห็นใหม่อาจจะมาจากความกดดันต่อบรู ซอฟโดยเจ้าหน้าที่โซเวียต ผู้ไม่ต้องการที่จะทำให้ดูเหมือนกับว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการสูญเสียห้อง อำพัน
ในบรรดาข้อมูลต่างๆ จากหอเอกสาร ก็คือการพบโมเซอิคหินอิตาลีที่เหลือในกซากเพลิงไหม้ที่ปราสาทเหตุผลของผู้ประพันธ์ถึงสาเหตุที่โซเวียตทำการสืบสวนหาห้องอำพันกันอย่าง ใหญ่โตในปีต่อๆ มาหลังสงครามโลกครั้งที่สองแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญของตนเองจะสรุปแล้วว่าถูก ทำลายไป อาจจะมาจากเหตุผลจากแรงกระตุ้นหลายอย่าง บ้างก็เพื่อที่จะพรางความเป็นจริงที่ว่าทหารโซเวียตอาจจะเป็นผู้รับผิดชอบใน การทำลาย หรือ บ้างก็อาจจะเห็นว่าการโจรกรรมห้องอำพันเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่ออันมีประโยชน์ของสงครามเย็น หรือบ้างก็อาจจะพยายามกระจายความรับผิดชอบต่อการถูกทำลาย เพราะความที่ไม่สามารถที่จะโยกย้ายห้องอำพันไปอยู่ในที่ปลอดภัยเมื่อสงคราม เริ่มขึ้น
เจ้าหน้าที่รัสเซียไม่ยอมรับบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ และในบางกรณีก็ถึงกับสร้างความไม่พึงพอใจ อเดเลดา โยลคินานักค้นคว้าอาวุโสของพิพิธภัณฑ์พาฟลอฟสค์กล่าวว่า “เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพแดงจะขาดความระมัดระวังจนถึงกับปล่อยให้ ห้องอำพันถูกทำลายไปได้” ผู้เชี่ยวชาญรัสเซียคนอื่นๆ ไม่มีความแคลงใจเท่าและให้ความเห็นไปอีกแนวหนึ่ง มิเคล พิโอโทรฟสกีผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจกล่าว อย่างระมัดระวังว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำลายห้องอำพันเป็นความผิดของผู้ริเริ่มสงคราม” แคทเธอรีน สกอตต์-คลาร์คโต้ตอบความเห็นนี้โดยชี้ให้เห็นว่าผู้ประพันธ์ไม่ต้องการที่ลง เอยด้วยบทสรุปดังกล่าวโดยกล่าวว่า “เมื่อเราเริ่มต้นการสืบสวนเรื่องนี้ เราก็เพียงแต่มีความหวังว่าจะค้นพบห้องอำพันที่หายไปเท่านั้น”
ตั้งแต่หนังสือได้รับการตีพิมพ์ ทหารผ่านศึกรัสเซียก็ให้สัมภาษณ์และกล่าวยืนยันบทสรุปว่าห้องอำพันถูกทำลาย ไปจริงๆ แต่ก็ยังปฏิเสธว่าเพลิงไหม้เกิดจากความจงใจ เลโอนิด อรินชไทน์ผู้เชี่ยวชาญทางวรรณกรรมของสถาบันวัฒนธรรมเอกชนกล่าวว่า “ผมคงไม่ใช่คนสุดท้ายที่ได้เห็นห้องอำพัน” ผู้ขณะนั้นเป็นนายร้อยของกองทัพแดงผู้มีความรับผิดชอบอยู่ที่เคอนิกสบวร์กใน ปี ค.ศ. 1945 อรินชไทน์กล่าวต่อไปว่า “ทหารกองทัพแดงไม่ได้เผาสิ่งใด”
ทฤษฎีในแนวนี้เป็นทฤษฎีที่แพร่หลายทั่วไปในบรรดาชาวเมืองคาลินกราด (เดิมเคอนิกสแบร์กใน เยอรมนี) ในปัจจุบัน ที่ว่าบางส่วนของห้องอำพันพบในห้องใต้ดินหลังสงครามโลกครั้งที่สองโดยกองทัพ แดง ที่ยังอยู่ในสภาพที่ดีพอสมควร แต่ข้อที่ว่านี้ก็มิได้เป็นที่ยอมรับในขณะนั้นเพื่อที่จะให้ความผิดตกไปอยู่ กับฝ่ายเยอรมัน เพื่อจะทำให้เรื่องที่ว่าเป็นที่น่าเชื่อถือการเข้าออกของปราสาทที่ถูกทำลาย ไปมากจึงเป็นเพียงจำกัด แม้แต่การเข้าไปสำรวจทางประวัติศาสตร์/โบราณคดี ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 ก็ได้มีการยุติการเข้าไปยังปราสาท และทรากปราสาทถูกระเบิดทิ้งโดยกองทัพแดง เพื่อปิดทางเข้าบริเวณที่อยู่ใต้ดิน จากนั้นก็ได้มีการสร้างมหาวิหารซอฟเยทอฟแห่งคาลินินกราดบนสถานที่ที่ถูก ทำลายขึ้น ฉะนั้นห้องอำพันที่ยังเหลืออยู่จึงยังคงถูกฝังอยู่ใต้ดิน แต่ตามที่กล่าวข้างต้นอำพันที่ไม่ได้รับการดูแลก็จะเปราะหักเป็นฝุ่นเมื่อ นานเข้า ฉะนั้นจึงพอที่จะสรุปได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่รัสเซียแม้ว่าจะหลังจากคอมมิวนิสต์แล้วก็ยังไม่เต็มใจที่จะ ยอมรับข้อสันนิษฐานดังว่านี้

ในปี ค.ศ. 2008 ก็ได้มีการค้นหาห้องอำพันกันขึ้นหลายครั้งในบริเวณเขตแดนเยอรมนี-เช็กตามคำ บอกกล่าวของแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ แต่ก็ไม่ได้มีการพบสิ่งใดตามที่ต่างๆ ที่ว่า

วอดก้า (Vodka)

วอดก้า (Vodka)

คำว่า “Vodka” หรือ Wodka” มาจากภาษารัสเซียคือ “Zhiznennia Voda” แปลว่า “Water of Life” บ้างก็แปลว่า “Little Water” วอดก้าเป็นที่ยอมรับของชาวอเมริการาวประมาณปี ค.ศ. 1946 วอดก้าเป็นเหล้าสีขาวใส มีกลิ่นเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก ดีกรี 40-60 สมัยก่อนไม่เป็นที่รู้จัก แต่ในปัจจุบันเป็นเหล้าที่นิยมกันมาก เป็นเหล้าที่หมักจากข้าว หรือมันฝรั่งและอ้อยแล้วแต่วัตถุดิบของผู้ผลิตประเทศนั้นๆ ผ่านการกรองและดูดกลิ่นจนเหลือสีเจือปนและกลิ่นน้อยที่สุด วอดก้าของรัสเซีย หรือโปแลนด์บางชนิดนิยมแช่สมุนไพร หรือเครื่องเทศเพื่อให้เป็นเหล้ายา แต่ไม่ค่อยพบในท้องตลาดบ้านเรา

คำว่า “It will leave you breathless”ที่ชาวยุโรปพูดกันจนชิน คือ เมื่อดื่มวอดก้า แล้วจะไม่มีกลิ่นติดค้างเมื่อหายใจ ค็อกเทลที่ผสมวอดก้าที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ Screw Driver, Bloody Mary, Vodka Martini,Salty Dog’s เป็นต้น ส่วนเหล้าวอดก้าที่เรารู้จักกันดีในประเทศไทย คือ Borzoi , Smirnoff, Stolighinaya, Ursus, Skyy,

ปัจจุบัน วอดก้าสามารถผลิตกันได้ทั่วทุกมุมโลก แม้กระทั่งประเทศไทยเอง ก็สามารถผลิตได้เหมือนมากจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ อังเคิล ทอม วี (Uncle Tom-V)และอังเคิล ทอม เบอร์ 9(Uncle Tom No.9)

วอดก้า มีต้นกำเนิดในแถบยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะ รัสเซีย (Russia) และ โปแลนด์ (Poland) ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น ผู้คนแสวงหาเครื่องดื่มที่จะช่วยให้พวกเขาต่อสู้กับความหนาวเย็นได้ วอดก้า เป็น นิวโทรล์ สปิริต (Neutral Spirt) คือ สุราที่มีความเป็นกลาง กล่าวคือ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และ ไม่มีรส แต่วอดก้าราคาถูกอาจมีรสขมติดปลายลิ้น หรืออาจ มีกลิ่นของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หลงเหลืออยู่

วัตถุดิบในการผลิตของวอดก้านั้น มีหลากหลายชนิด นับตั้งแต่ มันฝรั่ง (Potato), เมล็ดข้าว (Grain) เช่น เมล็ดข้าวโพด (Corn) และเมล็ดข้าวสาลี (Wheat) แต่ส่วนมากจะ ใช้ธัญญพืช ในการผลิต สำหรับประเทศที่มีการผลิตวอดก้านี้ ไม่ใช่จะมีแต่ประเทศรัสเซียเท่านั้น แต่ยังมีประเทศอื่นอีกที่มีการผลิตเหล้าชนิดนี้ เช่น ประเทศอเมริกา(America) และประเทศโปแลนด์ (Poland) เป็นต้น

ถ้าดูจากกฏหมายที่ระบุความเป็นเหล้าวอดก้าแล้วอาจจะไม่นึกอยากดื่มด้วยซ้ำเพราะ วอดก้าจะต้องไม่มีบุคลิก, ไม่มีสี, ไม่มีกลิ่น, ไม่มีรส แต่ทว่าเอกลักษณ์อันนี้ทำให้วอดก้าเป็นเหล้าที่ใช้ผสมที่ดีที่สุด เพราะแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ช่วยเน้นรสชาติของสิ่งที่ผสมลงไปทำให้เกิดความหอมหวานยิ่งขึ้น และใช้ผสมกับสุราอื่นๆได้ทุกชนิด นอกจากนี้ วอดก้ายังได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อดื่มแล้ว จะทำให้เกิดอาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้นได้น้อยที่สุดในบรรดาสุราทุกชนิด

วิธีการดื่มว๊อดก้าที่ดีนั้น ต้องดื่มแบบเย็นจัด คือต้องนำไปแช่เย็นในช่อง Freezer เสียก่อน (ข้อดีของว๊อดก้าคือแช่แล้วไม่แข็ง) ปัจจุบันนี้มีการแข่งขันในตลาดว๊อดก้าสูงมากเนื่องจากผู้ผลิตพยายามขายความเท่ห์ในการดื่มมากกว่าเรื่องของรสชาติ ยี่ห้อดังๆก็ได้แก่ Absolut, Stolichnaya (อ่านว่าสโตลิคนาย่า), Grey Goose, Ketel one และ Smirnoff

พระราชวังเครมลิน

พระราชวังเครมลิน มักเป็นคำที่คนชอบใช้เรียกสถานที่แห่งนี้ แต่แท้จริงแล้ว คำว่า "เครมลิน" ในภาษารัสเซียนั้น มีความหมายแปลว่าป้อมปราการ ซึ่งภายในป้อมปราการหรือเครมลินนั้นก็จะประกอบไปด้วยพระราชวัง วิหารสำคัญๆ และที่ทำการของรัฐบาลต่างๆ แต่เรามักเรียกกันแบบรวมๆ ไปว่าพระราชวังเครมลิน
สำหรับเครมลินนี้ก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการสร้างเมืองมอสโกในปี ค.ศ.1147 โดยผู้สร้างก็คือเจ้าชายยูริ ดอลโกรูกี้ พระราชโอรสของกษัตริย์วลาดิเมียร์ โมโนมาด แห่งเมืองเคียฟ เมืองเล็กๆ ที่มีป้อมปราการอยู่บนภูเขา เจ้าชายยูริได้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่ที่นี่และได้สร้างค่าย สร้างประตู สร้างกำแพงเมือง รวมไปถึงยังสร้างพระราชวังภายในเครมลินแห่งนี้ แต่ในสมัยนั้นยังก่อสร้างด้วยไม้และดิน ไม่ได้มีรูปร่างลักษณะเหมือนอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้

แต่ต่อมาในสมัยของพระเจ้าอิวานที่ 3 (อิวานมหาราช) พระองค์ได้ปลดปล่อยรัสเซียจากการปกครองของพวกตาตาร์ (มองโกล) และได้พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญขึ้นในหลายๆ ด้าน รวมไปถึงได้แต่งเติมเสริมสร้างเครมลินจนเป็นรูปร่างลักษณะอย่างที่เราเห็น กันทุกวันนี้ โดยได้เปลี่ยนจากกำแพงหินปูนสีขาวมาเป็นกำแพงอิฐสีแดง และได้มีการบูรณะพระราชวัง วางผังเมือง สร้างโบสถ์ โดยพระองค์ได้ทรงนำเอาช่างชาวอิตาลีมาออกแบบสิ่งก่อสร้างต่างๆ ให้งดงาม
และอีก 860 ปีผ่านไปหลังจากที่เจ้าชายยูริสร้างเครมลินและเมืองมอสโก ก็เป็นเวลาที่เราได้มาเยือนเครมลินแห่งนี้ หลังจากซื้อบัตรและเดินผ่านเครื่องแสกนตรวจกระเป๋าแล้ว เราก็เดินผ่านป้อมประตูและกำแพงหนา 5 เมตรเข้าสู่ภายในกำแพงเครมลิน บรรยากาศภายในดูสงบเรียบร้อย มีนักท่องเที่ยวและนักเรียนที่มาทัศนศึกษาเดินชมสถานที่ต่างๆ กันอยู่เป็นกลุ่มๆ

ความน่าสนใจของเครมลินเริ่มขึ้นตั้งแต่ป้อมประตูแล้ว โดยรอบเครมลินนี้มีป้อมหรือหอคอยอยู่ทั้งหมด 20 แห่ง ป้อมแต่ละป้อมก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความสูงของป้อม การตกแต่ง เช่นบางป้อมมีดาวแดงประดับอยู่บนยอด บางป้อมทำเป็นหอนาฬิกา สำหรับป้อมที่เราเดินเข้ามานี้ก็เป็นอีกป้อมหนึ่งที่มีดวงดาวประดับอยู่ ห่างจากป้อมประตูมาไม่ไกลนัก มองทางซ้ายมือเห็นตึกสีเหลืองคืออาคารคลังแสงโบราณ สังเกตได้จากปืนหลายกระบอกที่ตั้งอยู่ด้านหน้า รวมทั้งใกล้ๆ กันนั้นก็ยังเป็นที่ทำการของประธานาธิบดีปัจจุบันอีกด้วย